ลม
เซลล์การพาความร้อน (Convection cell) ของอากาศประกอบด้วย กระแสอากาศเคลื่อนที่เป็นวงรอบ (Circulation) ซึ่งมีทิศทางหมุนวนเป็นแนวดิ่งและแนวราบ เราเรียกการเคลื่อนที่ของกระแสอากาศในแนวดิ่งตั้งฉากกับโลกว่า "ความกดอากาศ" และเรียกการเคลื่อนท่ีของกระแสอากาศในแนวราบขนานกับพื้นผิวโลกว่า "ลม" (Wind) ลมจะเคลื่อนที่จากหย่อมความกดอากาศสูง (H) ไปยังหย่อมอากาศต่ำ (L) เนื่องจากอากาศเย็นจมตัวไหลไปแทนที่อากาศร้อนซึ่งยกตัวขึ้น เนื่องจากการหมุนเวียนอากาศมีทั้งวงรอบขนาดเล็กปกคลุมพื้นที่เพียงไม่ถึงตารางกิโลเมตร และวงรอบขนาดใหญ่ปกคลุมพื้นที่ครอบคลุมทวีปและมหาสมุทร ดังนั้นนักอุตุนิยมวิทยาจึงแบ่งสเกลการหมุนเวียนอากาศ ออกเป็น 3 ระดับ ดังตารางที่ 1 ด้านล่าง
ลมท้องถิ่น (Local winds) เป็นลมซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวัน คลอบคลุมพื้นที่ขนาดจังหวัด การหมุนเวียนของอากาศในสเกลระดับกลางเช่นนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์และความแตกต่างของอุณหภูมิภายในท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น ลมบก-ลมทะเล ลมภูเขา-ลมหุบเขา เป็นต้น
ลมบก-ลมทะเล เกิดขึ้นเนื่องจากในเวลากลางวันพื้นดินดูดกลืนความร้อนเร็วกว่าพื้นน้ำ อากาศเหนือพื้นดินร้อนและขยายตัวลอยสูงขึ้น (ความกดอากาศต่ำ) อากาศเหนือพื้นน้ำมีอุณหภูมิต่ำกว่า (ความกดอากาศสูง) จึงจมตัวและเคลื่อนเข้าแทนที่ ทำให้เกิดลมพัดจากทะเลเข้าสู่ชายฝั่ง เรียกว่า “ลมทะเล” (Sea breeze) ในเวลากลางคืนพื้นดินคลายความร้อนได้เร็วกว่าพื้นน้ำ อากาศเย็นเหนือพื้นดินจมตัวลง (ความกดอากาศสูง) และเคลื่อนตัวไปแทนที่อากาศอุ่นเหนือพื้นน้ำซึ่งยกตัวขึ้น (ความกดอากาศต่ำ) จึงเกิดลมพัดจากบกไปสู่ทะเล เรียกว่า “ลมบก” (Land breeze) ดังที่แสดงในภาพที่ 2
ภาพที่ 2 ลมบก-ลมทะเล
ลมหุบเขา-ลมภูเขา เกิดขึ้นเนื่องจากในเวลากลางวัน พื้นที่บริเวณไหล่เขาได้รับความร้อนมากกว่าบริเวณพื้นที่ราบหุบเขา ณ ระดับสูงเดียวกัน ทำให้อากาศร้อนบริเวณไหล่เขายกตัวลอยสูงขึ้น (ความกดอากาศต่ำ) เกิดเมฆคิวมูลัสลอยอยู่เหนือยอดเขา อากาศเย็นบริเวณหุบเขาเคลื่อนตัวเข้าแทนที่ ทำให้เกิดลมพัดจากเชิงเขาขึ้นสู่ลาดเขา เรียกว่า “ลมหุบเขา” (Valley breeze) หลังจากดวงอาทิตย์ตก พื้นที่ไหล่เขาสูญเสียความร้อน อากาศเย็นตัวอย่างรวดเร็ว จมตัวไหลลงตามลาดเขา เกิดลมพัดลงสู่หุบเขา เรียกว่า “ลมภูเขา” (Mountain breeze) ดังที่แสดงในภาพที่ 3 ในบางครั้งกลุ่มอากาศเย็นเหล่านี้ปะทะกับพื้นดินในหุบเขาซึ่งยังมีอุณหภูมิสูงอยู่ จึงควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ ทำให้เกิดหมอก (Radiation fog)
ส่วนในการศึกษาเรื่องสเกลของลมระดับใหญ่ซึ่งปกคลุมพื้นที่กว้างเช่น ทวีป ทะเล มหาสมุทร นั้น จะต้องศึกษาในเรื่องการหมุนเวียนของบรรยากาศโลก ซึ่งเกี่ยวข้องกับฤดูกาล และพลังงานที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์ในบทต่อไป
ภาพที่ 3 ลมหุบเขา-ลมภูเขา
การวัดความเร็วและทิศลม
อุปกรณ์วัดความเร็วลม (Anemometer) มีรูปร่างเหมือนใบพัดเครื่องบินหรือกรวยดักลม ดังภาพที่ 4 มีหลักการทำงานเหมือนเช่นเดียวกับเครื่องวัดความเร็วในรถยนต์ เมื่อกระแสลมพัดมาปะทะใบพัดซึ่งเป็นกรวยดักลม จะทำให้แกนหมุนและส่งสัญญาณจำนวนรอบมาให้เครื่องคำนวณเป็นค่าความเร็วลมอีก โดยมีหน่วยวัดเป็นเมตรต่อวินาที
อุปกรณ์วัดทิศทางลม (Wind vane) ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ เครื่องวัดทิศทางลม และแป้นบอกทิศทางลม
เครื่องวัดทิศทางลม มีรูปร่างคล้ายเหมือนลูกศร กระแสลมปะทะเข้ากับแผ่นหางเสือที่ปลายลูกศร ทำให้หัวลูกศรชี้เข้าหาทิศทางที่กระแสลมพัดมาตลอดเวลา ดังด้านบนของภาพที่ 4
แป้นบอกทิศทาง ทำหน้าที่เสมือนหน้าปัด มีอักษรบอกทิศหลักสี่ทิศ คือ ทิศเหนือ (N) ทิศตะวันออก (E) ทิศใต้ (S) และทิศตะวันตก (W) สำหรับแป้นบอกทิศทางชนิดละเอียด จะมีแบ่งหน้าปัดแบ่งทิศออกเป็น 360 องศา โดยมีจุดเริ่มต้นเป็นทิศเหนือ (0° หรือ 360°) แล้วนับมุมราบตามเข็มนาฬิกาไปทางขวามือจนครบวงรอบ ดังภาพที่ 5
ภาพที่ 4 อุปกรณ์วัดทิศทางและความเร็วลม
ภาพที่ 5 หน้าปัดแสดงทิศทางลม