วงโคจรของดาวเทียม


อวกาศอยู่สูงเหนือพื้นโลกขึ้นไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตร แต่การที่จะขึ้นไปถึงมิใช่เรื่องง่าย  เมื่อสามร้อยปีมาแล้ว  เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้คิดค้นทฤษฎีเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก  อธิบายว่า หากเราขึ้นไปอยู่บนที่สูงแล้วปล่อยวัตถุให้หล่นลงมา วัตถุจะตกลงสู่พื้นในแนวดิ่ง เมื่อออกแรงขว้างวัตถุออกไปในทิศทางขนานกับพื้น วัตถุจะเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้ง (A) ดังแสดงในภาพที่ 1   แรงลัพธ์ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงที่เราขว้างและแรงโน้มถ่วงของโลกรวมกันทำให้วัตถุเคลื่อนที่เป็นวิถีโค้ง   ถ้าเราออกแรงมากขึ้น วิถีการเคลื่อนที่ของวัตถุจะโค้งน้อยลง วัตถุจะยิ่งตกไกลขึ้น (B)   และหากเราออกแรงมากจนวิถีของวัตถุขนานกับความโค้งของโลก วัตถุจะไม่ตกสู่พื้นโลกแต่จะเป็นการตกอย่างต่อเนื่อง (C) เราเรียกการตกในลักษณะเช่นนี้ว่า “การตกอย่างอิสระ” (Free fall)  และนี่คือหลักการส่งยานอวกาศขึ้นสู่วงโคจรโลก หากเราเพิ่มแรงให้กับวัตถุมากขึ้นไปอีก วิถีของวงโคจรเป็นรูปวงรี (D)  และถ้าส่งวัตถุด้วยความเร็ว 11.2 กิโลเมตรต่อวินาที วัตถุจะไม่หวนกลับคืนมา แต่จะเดินทางออกสู่ห้วงอวกาศ (E) เราเรียกความเร็วนี้ว่า “ความเร็วหลุดพ้น” (Escape speed) และนี่คือหลักการส่งยานอวกาศไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น 

หมายเหตุ: ในทางปฏิบัติเราไม่สามารถส่งวัตถุขึ้นสู่อวกาศในแนวราบได้ เพราะโลกมีบรรยากาศห่อหุ้มอยู่ ความหนาแน่นของอากาศจะต้านทานให้วัตถุเคลื่อนที่ช้าลงและตกสู่พื้นเสียก่อนที่จะเข้าสู่วงโคจร  ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จึงออกแบบวิถีของจรวดให้ขึ้นสู่ท้องฟ้าในแนวดิ่ง แล้วค่อยปรับวิถีให้โค้งขนานกับผิวโลกเมื่อเหนือชั้นบรรยากาศในภายหลัง

ภาพที่ 1 หลักการส่งวัตถุเข้าสู่วงโคจร 

การออกแบบวงโคจรของดาวเทียมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานดาวเทียม ระดับความสูงของดาวเทียมมีความสัมพันธ์กับคาบเวลาในวงโคจรตามกฎของเคปเลอร์ข้อที่ 3 (กำลังสองของคาบวงโคจรของดาวเทียม แปรผันตาม กำลังสามของระยะห่างจากโลก) ดังนั้น ณ ระดับความสูงจากผิวโลกระดับหนึ่ง ดาวเทียมจะต้องมีความเร็วในวงโคจรค่าหนึ่ง มิฉะนั้นดาวเทียมอาจตกสู่โลกหรือหลุดจากวงโคจรรอบโลก ดาวเทียมวงโคจรต่ำเคลื่อนที่เร็ว ดาวเทียมวงโคจรสูงเคลื่อนที่ช้า 

นักวิทยาศาสตร์คำนวณหาค่าความเร็วในวงโคจรได้โดยใช้ “กฎความโน้มถ่วงแห่งเอกภพของนิวตัน” (Newton's Law of Universal Gravitation) “วัตถุสองชิ้นดึงดูดกันด้วยแรงซึ่งแปรผันตามมวลของวัตถุ แต่แปรผกผันกับระยะทางระหว่างวัตถุยกกำลังสอง” ดังนี้ 

                แรงสู่ศูนย์กลาง = แรงโน้มถ่วงของโลก
                              mv2/r      = G (Mm/r2)
                                          v    =  (GM/r)1/2 

   โดยที่ v = ความเร็วของดาวเทียม
          M = มวลของโลก
          m = มวลของดาวเทียม
          r = ระยะทางระหว่างศูนย์กลางของโลกกับดาวเทียม
          G = ค่าคงที่ของแรงโน้มถ่วง = 6.674 x 10-11 Nm2/kg2 


ตัวอย่างที่ 1 ถ้าต้องการส่งดาวเทียมให้โคจรค้างฟ้าที่ระดับสูง 35,786 กิโลเมตร ดาวเทียมจะต้องมีความเร็วในวงโคจรเท่าไร  

                                      r  = 6,378 km (รัศมีโลก) + 35,786 km (ระยะสูงของวงโคจร)
                                          = 42,164 km  = 4.2164 x 107 km 

                                      v  =  (GM/r)1/2  
                                          =  {(6.674 x 10-11 Nm2/kg2)(5.972 x 1028 kg)/(4.2164 x 107 km)} 1/2 
                                                 =  11,076 กิโลเมตร/ชั่วโมง 

ข้อมูลในตารางที่ 1 แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับความสูงของดาวเทียมและความเร็วในวงโคจร  กฎแปรผกผันยกกำลังสองของนิวตัน ซึ่งสรุปอย่างง่ายว่า ยิ่งใกล้ศูนย์กลางของโลก แรงโน้มถ่วงที่กระทำตอดาวเทียมยิ่งเพิ่มขึ้น ยิ่งห่างจากศูนย์กลางของโลก แรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อดาวเทียมยิ่งลดลง ดังนั้น 

การแบ่งประเภทวงโคจรดาวเทียมตามระยะสูงจากพื้นโลก 

เราสามารถแบ่งประเภทวงโคจรดาวเทียมตามระยะสูงจากพื้นโลกได้ 4 ประเภท ดังนี้ (ดูภาพที่ 2)

ภาพที่ 2 การแบ่งประภทวงโคจรตามระยะสูงจากพื้นโลก

การแบ่งประเภทวงโคจรดาวเทียมตามประโยชน์การใช้งาน 

นอกจากการแบ่งประเภทวงโคจรดาวเทียมตามระยะสูงจากพื้นโลกแล้ว ยังมีการแบ่งประเภทวงโคจรตามประโยชน์การใช้งาน ซึ่งวงโคจรแต่ละประเภทมีขนาดไม่เท่ากัน และเอียงทำมุมกับเส้นศูนย์สูตรโลกแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของภารกิจ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรผ่านเฉพาะพื้นที่ที่ต้องการ ในเวลาที่เฉพาะเจาะจง เป็นต้น

ภาพที่ 3 เส้นทางผ่านของวงโคจรขั้วโลก

ภาพที่ 4 วงโคจรสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์  
(ที่มา: Semantic Scholar)

ภาพที่ 5วงโคจรที่ระยะสูง 35,786 กม. (ที่มา: Science Photo Libraly)

ภาพที่ 6 วงโคจรรี (ที่มา: NASA) 

ภาพที่ 7 วงโคจรส่งต่อ (ที่มา: Wiki)