ประภาส ชลศรานนท์
ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ “คุยกับประภาส” มติชน หน้า
๑๔ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๔๔
เมื่อราวสี่ห้าปีก่อน ขณะที่ผมกำลังว่ายน้ำออกกำลังกายอยู่ในสระแถว
ๆ ละแวกบ้าน
มีชายหนุ่มร่างใหญ่ว่ายน้ำอยู่ในสระเดียวกันเข้ามาแนะนำตัว
เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนของคุณเจดีย์อีกที ตอนนี้รับราชการเป็นทหารอากาศอยู่
แต่ไม่ได้บินมาตั้งนานแล้ว เขารู้จักผมจากเพลงและงานเขียนของผม
แล้วเขาก็เล่าให้ฟังถึงความชอบในบทกวีและเสียงเพลงของเขา เขาบอกความชอบของเขานั้น
มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การได้อ่านหรือได้ฟังเพียงอย่างเดียว เขาชอบที่เขียนมันขึ้นมาเองด้วย เราพูดคุยกันถึงเพลงบางเพลงที่ผมแต่ง แล้วเขาก็เล่าอย่าประหม่า ๆ ว่าเขาก็แต่งเพลงไว้หลายเพลงอยู่
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น ผมรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้คุยกับนายทหารอย่างที่เขาแนะนำตัว ยศของเขาตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นนาวาอากาศตรี
เขาไม่มีบุคลิกเหมือนนายทหารหลายคนที่ผมเคยรู้จักเลย
ผมยังบอกกับตัวเองว่า ท่าทางเขาดู
“ฝันๆ” ผิดทหารไปหน่อย
เราคุยกันอีกหลายเรื่องรวมไปถึงเรื่องฟากฟ้าดาราพราวที่เขาชอบ ผมก็บอกไปว่าผมก็ชอบเหมือนกันไอ้ดูดาวนี่ ติดแต่คงไม่ถึงขนาดเป็นนักจับจ้องท้องฟ้า ผมชอบดูดาวเหมือนกับที่ชอบดูป่า ดูทะเล
หรือดูนก ดูเพราะว่ามันสวย
ดูแล้วมันชื่นใจก่อให้เกิดความพิศวงและเกิดความคิดต่างๆ
เท่านั้นไม่ได้เป็นนักค้นคว้าหรือศึกษาอะไรจิงจัง
ซึ่งมันคนละเรื่องกับตัวเขา เขายังได้บอกเล่าถึงความใฝ่ฝันในเรื่องดาราศาสตร์ของเขาอีกด้วย
แล้วเขาก็บอกผมว่า เขากำลังทำหอดูดาว
ผมฟังแล้วก็รู้สึกตงิดๆ
ขึ้นมาว่า ไอ้หอดูดาวนี่มันทำง่ายอย่างงั้นเชียวหรือ มันง่ายขนาดที่อยู่ๆ คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นสถาบันอะไร
หรือมีหน่วยงานอะไรเกี่ยวกับดาราศาสตร์มาสนับสนุน จะทำมันขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ
แม้ผมจะเห็นความจริงจังในแววตาของเขาแวบขึ้นมาผมก็ยังตงิด
ๆ อยู่
ต้องบอกไว้ตรงนี้ก่อนว่า อันที่จริงผมเป็นคนไม่เคยดูแคลนความฝันของใครเลยเท่าที่จำความได้ แม้จะมีหนุ่มคนสาวมาพูดให้ฟังเข้าหูบ่อยๆ
ว่า อยากสร้างหนัง อยากทำร้านดอกไม้หรืออยากเขียนหนังสือสักเล่มอยู่ตลอดเวลา
ผมมักยิ้มให้กำลังใจตามประสารุ่นพี่ และก็เฝ้ารอดูความฝันของเขาเติบโต
แม้มันจะมีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ที่พวกเขาได้ทำอย่างฝัน ผมก็ยังดีใจที่มีคนกล้าฝัน
แต่ชายหนุ่มคนนี้กำลังจะทำหอดูดาว
ผมนึกอยู่ในใจเล่นๆ ราคากล้องดูดาวขนาดที่จะทำหอดูดาวนั้นมันเท่าไหร่กัน
กล้องดูนกขนาดธรรมดาที่มีกำลังขยายสูงหน่อยราคาก็เป็นหมื่นแล้ว
แล้วเท่าที่ถามไถ่จากคนรู้จักชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีมาจากไหน นาวาอากาศตรีกินเงินเดือนหลวงธรรมดา
ไหนจะเรื่องสถานที่ที่จะต้องอยู่ห่างไกลจากรุงเทพฯ
ต้องอยู่ห่างจากตัวเมืองที่แสงไฟไม่ส่องรบกวนท้องฟ้าอีก
นี่เป็นเหตุผลที่หอดูดาวส่วนใหญ่จึงมักอยู่บนเขา
แล้วไหนจะเรื่องความท้อแท้เหนื่อยยากที่จะต้องเดินทางจากชีวิตประจำวันในวันที่ทำงานปกติในกรุงเทพฯ
ไปถึงสถานที่นั้นในทุกๆ วันหยุดอีกเล่า
แล้วผมก็คิดผ่านๆไปว่า
เรื่องหอดูดาวนี้ก็คงจะเป็นของเล่นของคนรุ่นใหม่
เหมือนชุดประดาน้ำของเพื่อนผมบางคนที่ซื้อมากองไว้ที่ห้องนั่งเล่น
เป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านไปแล้ว
เวลาผ่านไปอีกหลายเดือน รู้สึกปีนั้นสุริยุปราคาเต็มดวงมองเห็นได้ในประเทศไทย ช่วงนั้นสื่อมวลชนประโคมข่าวกันคึกคักเหลือเกิน ผู้คนเดินทางไปดูดวงอาทิตย์มืดตอนกลางวันแสกๆ
ที่ต่างจังหวัดกันอย่างเอิกเกริกไปทั้งประเทศ
ผมไม่ได้ไปไหนไกลเลย
ได้แต่พาลูกออกมาใส่แว่นดูอยู่หน้าบ้าน
แม้จะไม่เต็มดวงนัก แต่ก็ได้กันสนุกทั้งบ้าน ได้ถ่ายรูปดวงอาทิตย์เศษเสี้ยวที่เกิดเงาบนพื้นเมื่อแสงผ่านพุ่มไม้ลงมา ผมยังจำได้ว่าไปขอดูรูปจากเพื่อนๆ
ที่เขาไปดูที่ตำแหน่งมืดเต็มดวงแล้วถ่ายมาเลย
ช่วงนั้นคนเห่อเรื่องนี้กันมาก
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น คุณเจดีย์ก็นำอัลบั้มรูปเล็กๆ มาส่งให้
แล้วก็บอกว่าชายหนุ่มที่ผมเจอที่สระฝากมาให้
เพราะได้ยินว่าผมชอบเรื่องดวงดาวและอวกาศ
ผมเปิดรูปในอัลบั้มดู
ผมว่าผมเห็นความฝันของใครบางคนเปล่งแสงอยู่ในนั้น มันแข็งแรงมาก
ภาพในอัลบั้มนั้นเป็นภาพสุริยุปราคาที่ถ่ายตั้งแต่เริ่มบังจนบังมืดทั้งดวง เห็นโคโรน่าสวยงามไปกระทั่งเริ่มคายออก รูปที่ผมเห็นนั้นบอกได้เลยว่าไม่เหมือนกับรูปที่ผมดูของเพื่อนๆ
เลย
ผมรู้ได้เลยว่านี่มันมืออาชีพชัด
ๆ
รูปนั้นสวยคมชัดเจนเหมือนที่ผมเคยเห็นในหนังสือวิทยาศาสตร์ไม่ผิดไม่เพี้ยน
ถึงตรงนี้ต้องบอกก่อนนะครับว่า
การถ่ายรูปปรากฏการณ์สุรียุปราคานี่ไม่ใช่ถ่ายกันง่ายๆ มันต้องใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์เข้าร่วมมือกันเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์
และการถ่ายภาพนี่ไม่มีทางได้ภาพสวยเลยครับ
แล้วผมนึกถึงหอดูดาวของเขานั้นขึ้นมาทันที
จากนั้นผมก็ได้ยินชื่อหอดูดาวของเขาบ่อยขึ้นตามหน้าข่าวสารของหนังสือวิทยาศาสตร์บ้าง ตามข่าวทีวีที่พูดถึงเรื่องดาราศาสตร์บ้าง และทุกครั้งที่เห็น ผมก็จะหันมายิ้มกับความฝันที่ผมได้ยินเขาเล่าที่สระครั้งนั้นทุกครั้ง แม้จะฟังข่าวเขาอยู่เป็นปีๆ แต่ผมก็ไม่ได้ไปเยี่ยมหอดูดาวของเขาสักที
แล้วเมื่อหนาวนี้เอง
ผมจึงได้ไปเยี่ยมความฝันของผู้ชายที่รักการผจญภัยไปในฟากฟ้ายามราตรีมา
ประทับใจมากครับ
ลูกชายของผมวิ่งเล่นที่นั่นจนแทบไม่อยากกลับกรุงเทพฯ
หอดูดาวของเขาชื่อหอดูดาวเกิดแก้ว ตั้งตามนามสกุลของเขา น.ท.ฐากูร
เกิดแก้ว ตั้งอยู่บนเนื้อที่แปดร้อยห้าไร่ในหุบเขา
ในอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี
(เขาเปิดเว็บไซต์ชื่อ
www.lesa.biz)
ที่นั่นอากาศดีจนอยากจะนอนอยู่นานๆ ในบริเวณมีทะเลสาบเล็กๆ
ที่มีฝูกนกจากประเทศหนาวทางเหนือบินมาอาศัยในฤดูหนาวมากมาย ใครที่ชอบดูนก ที่นั่นมีนกทุ่งให้ดูกันทั้งวัน ใครที่ไม่มีกล้อง คุณฐากูรเขาก็ใจดีมีให้ยืมไปส่องกันได้
ผมไปถึงที่นั่นตอนบ่ายแก่ๆ ลูกผมใช้เวลาตลอดเย็นไปถีบจักรยานเล่นรอบๆ
บริเวณกับลูกๆ ของครอบครัวอื่นที่ไปในวันเดียวกัน เห็นเด็กๆ สะพายกล้องดูนกไปคนละอันแล้ว เลยเข้าใจว่าคุณฐากูรกำลังทำอะไรอยู่
พอเริ่มพลบค่ำ คุณฐากูรก็ชวนทุกคนขึ้นไปบนเนินที่ตั้งของหอดูดาว
ปูเสื่อให้นอนกันทั่วถึงแล้วก็สอนดูดาวกลางป่า วีธีการสอนของเขาฟังดูง่ายจริงๆ เขาก็ชี้ดวงดาวต่างๆ แล้วบอกเทคนิคง่ายๆ เหมือนเขาชี้ให้ดูนาฬิกาซักเรือน
เข้าใจง่ายไม่เหมือนที่ผมฟังมาจากคนอื่นหลายคน
ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการดูดาวมันยากเข็ญเหมือนดูพิมพ์เขียวของยานอวกาศสักลำ
แล้วคุณฐากูรก็ให้ทุกคนดูดาวจากกล้องโทรทรรศน์ขขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในหอดูดาว
ได้เห็นดาวศุกร์เป็นเสี้ยวเหมือนดวงจันทร์เสี้ยว
ได้เห็นเข็มขัดของดาวพฤหัส
ได้เห็นวงแหวนของดาวเสาร์
ได้เห็นชัดกว่าที่กาลิเลโอเคยเห็นด้วยซ้ำ
เด็กๆ ตื่นเต้นกันมาก
แม้มันจะไม่ชัดเท่าในหนังสือวิทยาศาสตร์
แต่การได้เห็นดวงดาวด้วยตัวเอง บรรยากาศกลางหุบเขาอย่างนั้น มันเป็นประสบการณ์อันสำคัญของเด็ก ๆ
ที่จะเติบโตต่อไปกับวิชาดาราศาสตร์
ผมมีเวลาได้นั่งคุยแรกเปลี่ยนความคิดกับเขาในตอนเช้า หลังจากไปพายเรือเล่นกับลุกๆ ในทะเลสาบมาแล้ว
ความที่เขาเป็นคนชอบศิลปะทำให้ผมพบว่ามุมมองของเขาที่เขามีต่อฟากฟ้าและดวงดาว
ไม่ได้เป็นแง่ของวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว
ไม่เกินไปเลยถ้าจะบอกว่าการศึกษาจักรวาลทำให้เรารู้จักมนุษย์ดียิ่งขึ้น
เรายังได้พูดคุยกันถึงพระพุทธศาสนา
ขณะนั่งดูก้อนหินและฟอสซิลที่เขาไปเก็บมาจากภูเขาอีก
เขาเล่าให้ฟังถึงความฝันที่ยังไม่จบของเขาอีกมากมาย หอดูดาวเกิดแก้วน่าจะเป็นหอดูดาวเอกชนแห่งเดียวในเมืองไทย เขาต้องจ้างแรงงานถางไร่ ทำสวน
ดูแลความสะอาด รวมไปถึงทำอาหารให้คนที่มาเที่ยว เขาเก็บเงินหกร้อยและแปดร้อยบาทต่อคน อาหารสองมื้อกับที่หลับนอนสบายๆ ดูอย่างไรผมก็ไม่น่าจะคุ้ม
มองให้ลึกแล้วจึงเห็นว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้ เขาทำเพื่อสังคมมากกว่าทำเป็นธุรกิจ เขาเล่าถึงปรารถนาที่จะให้เด็กๆ ที่มีความสนใจในวิทยาศาสตร์และดวงดาวได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง
เขาจัดค่ายดูดาวหลายครั้งที่นี่ให้เยาวชนในประเทศ
ผมมองเห็นสีหน้ามีความสุขของเขา เมื่อเล่าถึงจินตนาการของเด็กๆ
ที่แสดงออก
เมื่อมาเยี่ยมที่หอดูดาวแห่งนี้
และผมก็คิดว่าเขามีความสุขจริงๆ แม้จะต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปกาญจนบุรีในทุกวันหยุด
เพื่อต้อนรับคนที่มาเยี่ยมที่นี่ด้วยตัวเอง
ส่วนถ้าสุดสัปดาห์ไหนไม่มีใครมาเยี่ยมเขาก็ท่องจักรวาลค้นคว้าไปเรื่อยๆ
คนเดียว
เขาเล่าให้ฟังว่าหอดูดาวนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีคนใจดีอีกหลายคนช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พัก
เรื่องอาคาร
แต่ถึงกระนั้นรายรับ-รายจ่ายก็ยังไม่สมดุลกันนัก
หลายตอนของการนั่งคุยกับเขา ผมพยายามมองหาปัญหาของเขา
ผู้คนในสังคมและการศึกษายังมองเห็นเรื่องดาราศาสตร์เป็นเรื่องไกลตัว คนไทยส่วนใหญ่สนใจเรื่องปาฏิหาริย์ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เรื่องดาวที่อยู่ไกลออกไปหลายล้านปีแสง
ถูกมองเป็นเรื่องไร้สาระในสายตาของคนอีกหลายคน
ผมไม่อยากให้เด็กๆ
คิดเหมือนผู้ใหญ่ของเรา
ในโบสถ์แห่งหนึ่งเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน
เด็กชายคนหนึ่งมองโคมไฟที่ถูกคนดึงมาจุดไฟแล้วปล่อยกลับไป เด็กชายคนนั้นยืนมองแล้วก็จับชีพจรตัวเองไปด้วย
เขานับได้ว่าไม่ว่าโคมไฟจะแกว่งช่วงสั้นหรือช่วงยาวแค่ไหนก็ตาม ทุกครั้งที่แกว่งจะใช้เวลาเท่ากันเสมอ แล้วเด็กชายคนนั้นก็ถูกผู้ใหญ่ดุหาว่าเล่นแต่เรื่องไร้สาระ
เด็กชายคนนั้นเติบโตขึ้นและมีชื่อว่ากาลิเลโอ ชื่อนี้วงการวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นชื่อของผู้ที่ซึ่งมีคุณูปการอันเหลือคณาต่อโลกใบนี้ การค้นพบของเขาเป็นต้นต่อของเรื่อง “มีสาระ” มากมายที่รับใช้มนุษย์ผู้ใหญ่ทุกวันนี้