หินตะกอน

        แม้ว่าหินจะเป็นของแข็ง แต่มันก็มิสามารถดำรงอยู่ได้อย่างถาวร หินเมื่อถูกแสงแดด ลมฟ้าอากาศ และน้ำ หรือ ถูกกระแทก ก็แตกเป็นก้อนเล็กๆ หรือผุกร่อน เสื่อมสภาพลง เศษหินที่ผุพังทั้งอนุภาคใหญ่และเล็กถูกพัดพาไปสะสมอัดตัวกัน เป็นชั้นๆ เกิดความกดดันและปฏิกิริยาเคมีจนกลับกลายเป็นหินอีกครั้ง หินที่เกิดใหม่นี้เราเรียกว่า หินตะกอน (Sedimentary rock) ปัจจัยที่ทำให้เกิดหินตะกอนมีดังนี้ 

  • การผุพัง (Weathering) คือ การที่หินผุพังทำลายลง (อยู่กับที่) ด้วยกรรมวิธีต่างๆ จากลมฟ้าอากาศ สารละลาย และรวมทั้งการกระทำของต้นไม้ แบคทีเรีย ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ มีการเพิ่มอุณหภูมิและลดอุณหภูมิสลับกันเป็นต้น ภาพที่ 1 แสดงให้เห็นถึงการผุพังของหินชั้นบน ประกอบกับการดันตัวจากใต้เปลือกโลก ทำให้เกิดภูเขาหินแกรนิต

ภาพที่ 1 ภูเขาหินแกรนิตซึ่งกำลังผุพังจากสภาพลมฟ้าอากาศ


ตารางที่ 1 ตัวอย่างกระบวนการผุพังทางเคมี (Chemical Weathering)

 

  • การกร่อน (Erosion) หมายถึง กระบวนการที่ทำให้สารเปลือกโลกหลุด ละลายไป หรือกร่อนไป (โดยมีการเคลื่อนที่กระจัดกระจายไปจากที่เดิม) โดยมีต้นเหตุคือตัวการธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ ลมฟ้าอากาศ กระแสน้ำ ธารน้ำแข็ง การครูดถู ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง

ภาพที่ 2 การกร่อนด้วยกระแสลม



  • การพัดพา (Transportation) หมายถึง การเคลื่อนที่ของมวลหิน ดิน ทราย โดยกระแสน้ำ กระแสลม หรือธารน้ำแข็ง ภายใต้แรงดึงดูดของโลก อนุภาคขนาดเล็กจะถูกพัดพาให้เคลื่อนที่ไปได้ไกลกว่าอนุภาคขนาดใหญ่

ภาพที่ 3 การคัดขนาดตะกอนด้วยการพัดพาของน้ำ


                            ตารางที่ 2 ขนาดของอนุภาคตะกอน

ขนาดอนุภาค(มิลลิเมตร)

ชื่อเรียก

ประเภทของตะกอน

ชนิดของหินตะกอน

>256

ก้อนหินใหญ่

กรวด

หินกรวดมน

หินกรวดเหลี่ยม

<256

ก้อนหินเล็ก

<64

กรวดมน

<2

อนุภาคทราย

ทราย

หินทราย

<0.02

อนุภาคทรายแป้ง

โคลน

หินดินดาน

หินโคลน



  • การทับถม (Deposit) เกิดขึ้นเมื่อตัวกลางซึ่งทำให้เกิดการพัดพา เช่น กระแสน้ำ กระแสลม หรือธารน้ำแข็ง อ่อนกำลังลงและยุติลง ตะกอนที่ถูกพัดพาจะสะสมตัวทับถมกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิ ความกดดัน ปฏิกิริยาเคมี และเกิดการตกผลึก หินตะกอนที่อยู่ชั้นล่างจะมีความหนาแน่นสูงและมีเนื้อละเอียดกว่าชั้นบน เนื่องจากแรงกดดันซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำหนักตัวทับถมกันเป็นชั้นๆ (หมายเหตุ: การทับถมบางครั้งเกิดจากการระเหยของสารละลาย ส่วนที่เป็นน้ำระเหยไปในอากาศทิ้งสารที่เหลือให้ตกผลึกไว้เช่นเดียวกับการทำนาเกลือ)

  • การกลับคืนเป็นหิน (Lithification) เมื่อเศษตะกอนทับถมกันจะเกิดโพรงขึ้นประมาณ 20 – 40% ของเนื้อตะกอน น้ำพาสารละลายเข้ามาแทนที่อากาศในโพรง เมื่อเกิดการทับถมกันจนมีน้ำหนักมากขึ้น เนื้อตะกอนจะถูกทำให้เรียงชิดติดกันทำให้โพรงจะมีขนาดเล็กลง จนน้ำที่เคยมีอยู่ถูกขับไล่ออกไป สารที่ตกค้างอยู่ทำหน้าที่เป็นซีเมนต์เชื่อมตะกอนเข้าด้วยกันกลับเป็นหินอีกครั้ง

ภาพที่ 4 ขั้นตอนที่ตะกอนกลับคืนเป็นหิน


ประเภทของหินตะกอน

นักธรณีวิทยาจำแนกหินตะกอนตามลักษณะการเกิดออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้


1. หินตะกอนอนุภาค (Clastic rocks) ได้แก่ 

  • หินกรวดมน (Congromorate) เป็นหินเนื้อหยาบเกิดจากตะกอนซึ่งเป็นหิน กรวด ทราย ที่ถูกกระแสน้ำพัดพามาอยู่รวมกัน สารละลายในน้ำใต้ดินทำตัวเป็นซิเมนต์ประสานให้อนุภาคใหญ่เล็กเหล่านี้ เกาะตัวกันเป็นก้อนหิน
  • หินทราย (Sandstone) เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดปานกลาง เกิดจากการทับถมตัวของทราย มีองค์ประกอบหลักเป็นแร่ควอรตซ์ คนโบราณใช้หินทรายแกะสลัก สร้างปราสาท และทำหินลับมีด  ซากฟอสซิลไดโนเสาร์และปลามักปรากฏให้เห็นในหินทราย 
  • หินดินดาน (Shale) เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดมาก เนื่องจากประกอบด้วยอนุภาคทรายแป้งและอนุภาคดินเหนียวทับถมกันเป็นชั้นบางๆ ขนานกัน เมื่อทุบหินจะแตกตัวตามรอยชั้น ดินเหนียวที่เกิดดินดานใช้ทำเครื่องปั้นดินเผา  เนื่องจากหินดินดานเคยเป็นโคลนมาก่อนจึงอาจมีฟอสซิลปรากฏให้เห็นหลายชนิด 

ภาพที่ 5 สัดส่วนของหินตะกอนบนเปลือกโลก

2. หินตะกอนเคมี (Chemical sedimentary rocks) ได้แก่ 

  • หินปูน (Limestone) เป็นหินตะกอนคาร์บอเนต เกิดจากการทับถมของตะกอนคาร์บอเนตในท้องทะเล ทั้งจากสารอนินทรีย์และซากสิ่งมีชีวิต เช่น ปะการังและกระดองของสัตว์ทะเล ซึ่งถับถมกันภายใต้ความกดดันและตกผลึกใหม่เป็นแร่แคลไซต์ ซึ่งทำปฏิกิริยากับน้ำฝนซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด  ภูเขาหินปูนจึงมีถ้ำและหน้าผาสูงชันจำนวนมาก  หินปูนใช้ทำเป็นปูนซิเมนต์เพื่อใช้ในการก่อสร้าง

  • หินเชิร์ต (Chert) หินตะกอนเนื้อแน่น แข็ง เกิดจากการตกผลึกใหม่ เนื่องจากน้ำพาสารละลายซิลิกาเข้าไปแล้วระเหยออก ทำให้เกิดผลึกซิลิกาแทนที่เนื้อหินเดิม หินเชิร์ตมักเกิดขึ้นใต้ท้องทะเล เนื่องจากแพลงตอนที่มีเปลือกเป็นซิลิกาตาย เปลือกของมันจะจมลงทับถมกัน หินเชิร์ตจึงปะปะอยู่ในหินปูน

3. หินตะกอนอินทรีย์ (Organic sedimentary rocks) ได้แก่ 
  • ถ่านหิน (Coal) เกิดจากการทับถมของซากพืชที่ยังไม่เน่าเปื่อยไปหมดเนื่องจากสภาวะออกซิเจนต่ำ สภาวะเช่นนี้เกิดตามห้วยหนองคลองบึง ในแถบภูมิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตร การทับถมทำให้เกิดการแรงกดดันที่จะระเหยขับไล่น้ำและสารละลายอื่นๆ ออกไป ยิ่งมีปริมาณคาร์บอนมากขึ้นถ่านหินจะยิ่งมีสีดำ ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินคุณภาพปานกลางมีมากที่เหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินคุณภาพสูง ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ


ตารางที่ 3 ตัวอย่างหินตะกอน


รูป

หิน

แร่หลัก

ลักษณะ

ที่มา

หินกรวดมน

Conglomerate

ขึ้นอยู่กับก้อนกรวด
ซึ่งประกอบกันเป็นหิน

เนื้อหยาบ
เป็นกรวดมนหลายก้อน เชื่อมติดกัน

เกิิดขึ้นจากเม็ดกรวดที่ถูกพัดพาโดยกระแสน้ำแล้วเกาะติดกันด้วยวัสดุประสาน


หินทราย

Sandstone

ควอตซ์ 
SiO2

เนื้อหยาบสีน้ำตาล สีแดง

เกิดขึ้นจากแร่ควอตซ์ในหินอัคนี ผุพังกลายเป็นเม็ดทรายทับถมกัน


หินดินดาน

Shale

แร่ดินเหนียว

Al2SiO5(OH) 4

เนื้อละเอียดมาก สีเทา ผสมสีแดงเนื่องจากแร่เหล็ก

เกิดขึ้นจากเฟลด์สปาร์ในหินอัคนีผุพังเป็นแร่ดินเหนียวทับถมกัน


หินปูน

Limestone

แคลไซต์ 
CaCO3

เนื้อละเอียดมีหลายสี ทำปฏิกิริยากับกรด

เกิดจากการทับถมของตะกอนคาร์บอนเนตในท้องทะเล

หินเชิร์ต

Chert

ซิลิกา 
SiO2

เนื้อละเอียด แข็ง สีอ่อน

เกิดจากการทับถมของซากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในท้องทะเล จนซิลิกาเกิดการตกผลึกใหม่