สมมติฐานไกอา ในปี พ.ศ.2515 เจมส์ เลิฟล็อค (James Lovelock) นักชีวเคมีชาวอังกฤษ ได้เสนอสมมติฐานที่ว่า โลกทั้งดวงคือ สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้ต่างเป็นเซลล์ชีวิตของโลก ซึ่งมีบทบาทในการปรับสมดุลของโลก เลิฟล็อคตั้งข้อสังเกตว่า ร่างกายของมนุษย์ในสภาวะปกติรักษาอุณหภูมิที่ 37°C ไว้คงที่ ด้วยระบบต่างๆ ได้แก่ ระบบหายใจ ระบบอาหาร ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท เป็นต้น โลกของเราก็เช่นกัน อุณหภูมิของพื้นผิวโลกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก นับตั้งแต่โลกกำเนิดขึ้นมาหลายพันล้านปีมาแล้ว ทั้งนี้เป็นเนื่องจากโลกมีกลไกหลายระบบ ได้แก่ บรรยากาศ น้ำ ธรณี และสิ่งมีชีวิต ทำงานร่วมกันเพื่อที่จะรักษาสมดุลไว้เช่นเดียวกับร่างกายของมนุษย์ เลิฟล็อกตั้งชื่อสมมติฐานนี้ว่า “สมมติฐานไกอา” (Gaia hypothesis) คำว่า “ไกอา” เป็นภาษากรีกแปลว่า “เทพแห่งโลก” เราอาจทำความเข้าใจสมมติฐานไกอา โดยพิจารณาเปรียบเทียบโลกกับต้นไม้ ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิต หากดูภาคตัดขวางของต้นไม้จะเห็นว่า เนื้อไม้ที่อยู่ภายในเป็นของแข็งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดอยู่ที่บริเวณเปลือกไม้ รากไม้ กิ่งอ่อน ใบ ดอก และผล องค์ประกอบเหล่านี้ทำหน้าที่ร่วมกันทำให้ต้นไม้ทั้งต้นมีชีวิตอยู่ได้ หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งต้นไม้ก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ คงเหลือเพียงลำต้นที่แห้งตาย โลกก็เช่นกัน ภายในโลกไม่มีสิ่งมีชีวิต แต่บริเวณเปลือกโลกทั้งบนพื้นผิวทั้งบนบกและในน้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ต่างทำหน้าที่ในการควบคุมองค์ประกอบเคมีของบรรยากาศ ทำให้พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิคงที่ หากโลกร้อนหรือเย็นเกินไปสิ่งมีชีวิตไม่สามารถทนทานได้ โลกก็จะเปรียบเสมือนดาวเคราะห์ที่ตายไปแล้ว ดังเช่น ดวงจันทร์หรือดาวอังคาร เป็นต้น เจมส์ เลิฟล็อค อธิบายสมมติฐานไกอาโดยใช้แบบจำลองโลกของดอกเดซี่ (Daisy World) สมมติว่าในระบบสุริยะมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งมีขนาดและวงโคจรเหมือนกับโลกของเราทุกประการ พื้นผิวของดาวถูกปกคลุมไปด้วยดอกเดซี่หลายหลากสีซึ่งมีทั้งสีเข้มและสีอ่อน (คล้ายกับดอกเบญจมาศ) ไปทั่วทั้งดวงดังภาพที่ 2 ดอกเดซี่สีเข้มมีหน้าที่ดูดกลืนรังสีจากดวงอาทิตย์ทำให้พื้นผิวดาวมีอุณหภูมิสูงขึ้น ดอกเดซี่สีอ่อนมีหน้าที่สะท้อนแสงอาทิตย์ทำให้พื้นผิวดาวมีอุณหภูมิต่ำลง สมดุลประชากรของดอกเดซี่ทั้งสองชนิดเป็นกลไกปรับอุณหภูมิพื้นผิวของดาว ดังนี้ ภาพที่ 2 โลกของดอกเดซี่ ในอดีตดวงอาทิตย์ยังมีขนาดเล็กและมีความสว่างน้อย พื้นผิวของดาวเคราะห์มีอุณหภูมิต่ำ
ภาพที่ 3 กราฟแสดงความสัมพันธ์ของประชากรดอกเดซี่และอุณหภูมิพื้นผิวดาว ขณะที่ดวงอาทิตย์มีความสว่างมากขึ้น เปรียบเทียบโลกกับดาวเคราะห์เพื่อนบ้าน ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร เป็นดาวเคราะห์ชั้นในซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน (ภาพที่ 4) และอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไม่มาก พลังงานที่ดาวเคราะห์แต่ละดวงได้รับจากดวงอาทิตย์จึงไม่แตกต่างกันมาก ในอดีตบรรยากาศของดาวเคราะห์ทั้งสามมีองค์ประกอบทางเคมีคล้ายคลึงกันมากคือ มีองค์ประกอบหลักเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งนอกจากจะมีคุณสมบัติเป็นแก๊สเรือนกระจกทำให้ดาวมีอุณหภูมิสูงแล้ว ยังเป็นแก๊สโมเลกุลใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักมากทำให้ความกดอากาศสูงอีก ดังข้้อมูลที่แสดงในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 องค์ประกอบของบรรยากาศของโลก และดาวเคราะห์เพื่อนบ้าน
ดาวศุกร์ ดาวศูกร์มีขนาดเล็กกว่าโลกเพียงเล็กน้อย พื้นผิวของดาวศุกร์เต็มไปด้วยภูเขาไฟระเบิดและธารลาวา บรรยากาศของดาวศุกร์จึงคล้ายโลกในอดีต เต็มไปด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดมีภาวะเรือนกระจกชนิดกู่ไม่กลับ (Runaway greenhouse) อุณหภูมิเฉลี่ยสูง 480°C ความกดอากาศสูงกว่าบนพื้นผิวโลก 90 เท่า อุณหภูมิและความกดดันที่สูงมากเช่นนี้ทำให้น้ำบนดาวศุกร์มีสถานะเป็นแก๊ส ดาวอังคาร
มีขนาดเล็กกว่าเกือบครึ่งหนึ่งแต่ มีลักษณะคล้ายเคียงกับโลกมากที่สุด บรรยากาศของดาวอังคารเต็มไปด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในปัจจุบันบรรยากาศของดาวอังคารมีความหนาแน่นต่ำมาก ส่งผลให้ภาวะเรือนกระจกไม่ทำงานและมีอุณหภูมิต่ำถึง -59°C บรรยากาศของดาวอังคารมีแก๊สออกซิเจนเพียงเล็กน้อย ออกซิเจนส่วนใหญ่ทำปฏิกริยากับพื้นผิวของดาวจนเป็นสีแดงของสนิมเหล็ก ในอดีตบรรยากาศของดาวอังคารเคยมีความหนาแน่นกว่านี้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก และมีอุณหภูมิอบอุ่นจนน้ำสามารถดำรงอยู่ในสถานะของเหลวได้ ดังมีหลักฐานเป็นท้องน้ำที่เหือดแห้ง มีร่องรอยของน้ำไหลและตะกอนรูปพัด อย่างไรก็ตามยังมีน้ำแข็งจำนวนมากสะสมอยู่ที่บริเวณขั้วดาว และบางทีในอนาคตหลายพันล้านปี เมื่อดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ขึ้น พื้นผิวของดาวอังคารจะกลับอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง น้ำแข็งที่ขั้วดาวจะละลายเติมเต็มแม่น้ำลำคลองและมหาสมุทรที่เคยเหือดแห้ง โลก ในยุคแรกของระบบสุริยะเมื่อดวงอาทิตย์ยังมีขนาดเล็ก บรรยากาศโลกเต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากปล่องภูเขาไฟ พื้นผิวโลกมีความอุ่นเนื่องจากการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ครั้นเวลาต่อมาเมื่อดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ขึ้น สิ่งมีชีวิตได้พัฒนาคลอโรฟิลล์เพื่อตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมาสังเคราะห์เป็นอาหาร และปล่อยแก๊สออกซิเจนเข้าสู่บรรยากาศ เพื่อลดภาวะเรือนกระจกทำให้อุณหภูมิพื้นผิวลดลง แต่เนื่องจากแก๊สออกซิเจนมีความไวต่อการสันดาป ซึ่งอาจทำให้โลกทั้งดวงเกิดไฟไหม้ จึงมีวิวัฒนาการของสัตว์กินพืชเพื่อควบคุมปริมาณของออกซิเจน ประชากรของพืชและสัตว์ต่างทำงานร่วมกันในการรักษาสมดุลของอุณหภูมิโลก ดังกราฟที่แสดงในภาพที่ 5 |
วิทยาศาสตร์โลก > ระบบโลก (Earth System) >