ปี
ค.ศ.1905
อัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักดาราศาสตร์ชาวยิว ประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ
(Special Relativity) ว่า
แสงเดินทางในอวกาศด้วยความเร็วคงที่ด้วยความเร็ว
3 x 108 เมตร/วินาที และไม่ขึ้นอยู่กับทิศทางการเคลื่อนที่ของผู้สังเกตการณ์ ขณะที่สังคมในยุคนั้นถือว่า ความเร็ว
= ระยะทาง/เวลา
ไอสไตน์กล่าวว่า ความเร็วแสงคงที่
แต่เวลาและระยะทางยืดหดได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วของผู้สังเกตการณ์
ถ้าผู้สังเกตการณ์เดินทางเข้าใกล้ความเร็วแสง
ระยะทางจะหดสั้น กาลเวลาจะช้าลง
ดังที่แสดงในกราฟในภาพที่
1
ภาพที่
1
เมื่อผู้สังเกตการณ์เคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง
เวลาจะช้าลง
แม้ว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของไอน์สไตน์
ฟังดูไม่น่าเชื่อ
แต่ทฤษฎีนี้ก็ถูกพิสูจน์แล้วว่า
เวลาในยานอวกาศเดินช้ากว่าเวลาบนโลก
อนุภาคในอวกาศมีอายุขัยยาวนานกว่าอนุภาคบนโลก ปี ค.ศ.1917 ไอน์สไตน์ นำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Relativity) ว่า อวกาศประกอบด้วย
4 มิติ
คือ อวกาศและกาลเวลา (Space-time)
มวลทำให้อวกาศโค้ง
ดาวที่มีมวลมากจะฉุดรั้งให้อวกาศโค้งและกาลเวลายืดออกไป ในลักษณะคล้ายภาพที่
2
ภาพที่
2 อวกาศโค้ง
ไอน์สไตน์อธิบายว่า
ดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเพราะว่าอวกาศรอบๆ ดวงอาทิตย์โค้ง นักดาราศาสตร์ในยุคก่อนนั้นแปลกใจว่า อะไรเป็นสาเหตุให้วงโคจรของดาวพุธรอบดวงอาทิตย์แกว่ง ดังที่แสดงในภาพที่ 3 ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีดาวเคราะห์ที่มีนามสมมติว่า "วัลแคน" (Valcan) โคจรรอบดวงอาทิตย์ใกล้กว่าดาวพุธ เรามองไม่เห็นวัลแคนเพราะแสงสว่างจากดวงอาทิตย์รบกวน แต่แรงโน้มถ่วงของวัลแคนรบกวนเส้นทางโคจรของวัลแคน ไอน์สไตน์แก้ข้อสมมติฐานนี้โดยเสนอว่า ดาวเคราะห์วัลแคนไม่มีอยู่จริง เราสังเกตเห็นว่า วงโคจรของดาวพุธแกว่งเป็นเพราะว่า
ดาวพุธเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์เป็นวงโคจรรูปรี ซึ่งทาบอยู่บนอวกาศโค้ง หากใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปแทนค่าในสมการวงโคจรของดาวพุธ ก็จะทราบตำแหน่งที่แท้จริงของดาวพุธ
ภาพที่
3 วงโคจรของดาวพุธ
ไอน์สไตน์อธิบายว่า สภาพภูมิศาสตร์ของอวกาศไม่ใช่ราบเรียบเป็นเส้นตรง
หรือเป็นทรงกลมที่สมบูรณ์
หากแต่คดโค้งไม่สม่ำเสมอ
ขึ้นอยู่กับมวลในแต่ละตำแหน่งของจักรวาล ซึ่งจะฉุดให้กาลเวลายืดหดไปด้วย
แสงเดินทางเป็นเส้นตรงเมื่ออวกาศเป็นแผ่นระนาบ แต่ถ้าอวกาศโค้ง
แสงก็จะเดินทางเป็นเส้นโค้งด้วย
ดาวฤกษ์ที่มีมวลเท่าดวงอาทิตย์ทำให้อวกาศโค้งเพียงเล็กน้อย
(ภาพที่
4 ก)
แต่ดาวนิวตรอนทำให้อวกาศโค้งมาก
แสงที่เดินทางออกจากดาวนิวตรอนจึงเป็นเดินทางเป็นเส้นโค้ง
(ภาพที่
4 ข
และ ค)
และแสงที่เดินทางออกจากหลุมดำ จะตกกลับลงมาที่เดิม ไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้
(ภาพที่
4 ง)
ภาพที่
4 มวลของดาวทำให้แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง
เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลตั้งต้นมากกว่า
18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์หมดสิ้นอายุขัย
แก่นของมันจะยุบตัวลงอย่างรวดเร็วและฉุดให้อวกาศโค้งไปด้วย ดังภาพที่ 5 กาลเวลาจะช้าลง
นักวิทยาศาสตร์เรียกภาวะเช่นนี้ว่า "หลุมดำ" เพราะว่าหลุมดำไม่แผ่รังสีใดๆ ออกมา
ภาพที่
5 ความโค้งของอวกาศรอบหลุมดำ
แม้ว่าหลุมดำจะไม่สามารถแผ่รังสีใดๆ
ออกมา แต่นักดาราศาสตร์ทราบตำแหน่งของหลุมดำ
ได้จากการสังเกตการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของจานแก๊สรวมมวลรอบๆ
หลุมดำ ยกตัวอย่างเช่น
ระบบดาวคู่ Cygnus X-1
ในกลุ่มดาวหงส์ ดาวดวงหนึ่งในระบบดาวคู่ยุบตัวลงเป็นหลุมดำ แล้วดึงดูดแก๊สจากดาวคู่เข้ามาหมุนวนเป็นจานรวมมวล แล้วหล่นเข้าไปในหลุมดำ แก๊สในจานรวมมวลอัดแน่นกันจนเกิดอุณหภูมิสุงและแผ่รังสีเอ็กซ์และคลื่นวิทยุบางความถี่ออกมา ดังภาพที่ 6 นักดาราศาสตร์จึงทราบว่า บริเวณนั้นมีหลุมดำอยู่
ภาพที่
6 การแผ่รังสีเอ็กซ์ของระบบดาวคู่
ยิ่งเราเข้าใกล้หลุมดำ
ความโค้งของอวกาศจะทำให้เราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเข้าใกล้แสง
และกาลเวลาจะช้าลง (ทฤษฎีสัมพัทธ์ภาพพิเศษของไอน์สไตน์) ขอบของหลุมดำเรียกว่า
“เส้นขอบเหตุการณ์” (Event
Horizon) ดังภาพที่ 7 ถัดจากเส้นขอบเหตุการณ์เข้าไปยังจุดศูนย์กลาง (Singularity) กาลเวลาจะหยุดนิ่ง การเดินทางออกจากหลุมดำ จำเป็นต้องใช้ความเร็วหลุดพ้นซึ่งมีค่ามากกว่าความเร็วแสง ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นออกมาจากหลุมดำได้
เพราะไม่มีอะไรเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง (ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ อธิบายว่า สสารและพลังงานคือสิ่งเดียวกัน สสารคือพลังงานที่พักอยู่ แสงคือสสารที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในจักรวาล)
ภาพที่ 7 เส้นขอบเหตุการณ์
หลุมดำที่เกิดขึ้นจากดาวฤกษ์ยุบตัวมีขนาดเล็ก (ดาวแคระขาวมีขนาดใกล้เคียงกับโลก ดาวนิวตรอนมีขนาดประมาณ 10 กิโลเมตร หลุมดำอาจมีขนาดเล็กกว่า 1 กิโลเมตร) อย่างไรก็ตามหลุมดำที่ศูนย์กลางของกาแล็กซีมีขนาดใหญ่หลายปีแสง เนื่องจากกาแล็กซีเป็นศูนย์กลางของระบบดาวฤกษ์จำนวนล้านล้านดวง กาแล็กซีมีมวลมหาศาล ใจกลางของกาแล็กซีเป็นศูนย์รวมของแรงโน้มถ่วง ดังนั้นหลุมดำที่ใจกลางของแกแล็กซีจึงมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย ภาพที่ 8 เป็นรูปถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล เผยให้เห็นจานรวมมวลขนาดใหญ่ของกาแล็กซี M87 ซึ่งพ่นแก๊สร้อนออกมาจากหลุมดำ
ภาพที่ 8 หลุมดำที่ใจกลางกาแล็กซี M87