ดาวเคราะห์น้อย

        หลังจากที่มีการค้นพบยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 7 ของระบบสุริยะ ก็ได้มีการค้นพบดาวเคราะห์ขนาดเล็กชื่อ "ซีรีส" (Ceres) ในปี พ.ศ.2344  และต่อจากนั้นอีกไม่นานก็ได้มีการค้นพบดาวเคราะห์แบบนี้อีก 4 ดวงคือ พัลลาส จูโน เวสตา แอสเตรีย  จนกระทั่งได้มีการค้นพบดาวเนปจูนในปี พ.ศ.2389 จึงปรับลดสถานะของดาวเคราะห์ขนาดเล็กทั้งห้าดวงเรียกว่า "ดาวเคราะห์น้อย" (Minor planets) ต่อมาเมื่อมีการพัฒนากล้องโทรทรรศน์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นก็มีการค้นพบดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากบริเวณระหว่างวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี  และเมื่อนักดาราศาสตร์ทราบว่า ดาวเคราะห์น้อยเป็นเพียงวัสดุที่พยายามจะรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์แต่ไม่สำเร็จจึงเรียกพวกมันว่า "Asteroids" (ภาษาไทยยังคงเรียกว่าดาวเคราะห์น้อยเหมือนเดิม) และเรียกบริเวณที่ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่โคจรอยู่ว่า แถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid belt)

ภาพที่ 1 ตำแหน่งของดาวเคราะห์น้อย
(ที่มา ​Meteorites USA)

        ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่มีรูปทรงไม่สมมาตรไม่เป็นทรงกลม มีขนาดตั้งแต่ 1 - 1,000 กิโลเมตร ดาวเคราะห์น้อยมีมวลน้อยจึงมีแรงโน้มถ่วงน้อยไม่สามารถเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างสสารที่เป็นเนื้อดาว จึงไม่มีรูปร่างเป็นทรงกลม (ยกเว้นดาวซีรีสซึ่งเป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีมวลมากพอที่แรงโน้มถ่วงจะยุบดาวให้เป็นทรงกลม จึงถูกยกสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระ)  ดาวเคราะห์น้อยเปรียบเสมือนฟอสซิลของระบบสุริยะ เพราะว่าพวกมันคือวัสดุที่พยายามจะรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากถูกรบกวนโดยแรงโน้มถ่วงมหาศาลของดาวพฤหัสบดีซึ่งมีวงโคจรอยู่ใกล้เคียง สภาพของมันจึงไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ระบบสุริยะกำเนิดขึ้นมา นักดาราศาสตร์ทำการศึกษาดาวเคราะห์น้อยเพื่อศึกษาวิวัฒนาการของระบบสุริยะ โดยจำแนกดาวเคราะห์น้อยออกเป็น 3 แบบ ตามองค์ประกอบทางเคมี ดังนี้ 
  • C-type (Common) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่พบเห็นประมาณร้อยละ 75 มีองค์ประกอบเป็นคาร์บอน มีสีเข้มเพราะพื้นผิวสะท้อนแสงได้ไม่ดี  
  • S-type (Stone) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 17 มีองค์ประกอบหลักเป็นหินซิลิเกตมีเหล็กและนิเกิลปนอยู่เล็กน้อย
  • M-type (Metal) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่สว่างมาก เนื่องจากมีองค์ประกอบเป็นโลหะเหล็กและนิเกิล สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดี 

        ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่มีวงโคจรที่ไม่อยู่ในระนาบสุริยวิถี และอยู่ห่างจากโลกไม่เกิน 195 ล้านกิโลเมตร พวกมันมีโอกาสที่จะโคจรมาชนโลกได้  นักดาราศาสตร์จึงจำเป็นต้องติดตามการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรใกล้โลกซึ่งเรียกว่า "นีโอ" (NEO: Near Earth Objects)



คำอธิบายภาพข้างบน

1. เอรอส ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้โลก 
2. ดาวเคราะห์น้อยแดคทีลและดวงจันทร์ไอดา
3. เทคนิคภาพสีแสดงหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ (วงแหวนสีน้ำเงิน) บนดาวเคราะห์น้อยเวสตา
4. ภาพดาวเคราะห์น้อยกอเลฟกาซึ่งสร้างจากข้อมูลเรดาร์ 
5. ซีรีส ดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่ที่สุด (ปัจจุบันถูกเลื่อนสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระ) 
6. ดาวเคราะห์น้อยเวสตา
7. หลุมอุกกาบาตบนดาวเคราะห์น้อยเอรอส 

ข้อมูลสำคัญ
ข้อมูล เอรอส แกสปราเวสตา ซีรีส ไอดา 
 ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ (AU) 1.46 2.212.36 2.772.86 
 คาบวงโคจร (ปี)
1.76 3.29 3.63 4.60 4.84 
 ความรีของวงโคจร0.22 0.17 0.09 0.08 0.05 
 ความเอียงของวงโคจร (องศา) 10.834.10 7.13 10.58 1.14 
 คาบการหมุนรอบตัวเอง (ชั่วโมง:นาที) 5:167:025:209:044:38
 ขนาด (กิโลเมตร) 21x7x712x7x7  359x348x285 597x57937x15x12 


ที่มาของข้อมูลและภาพ NASA's Solar System Lithograph Set