ปรากฏการณ์ดอปเปลอร์
(Doppler Effect)
เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความยาวคลื่น
เนื่องจากความสัมพัทธ์ระหว่างทิศทางการเคลื่อนที่ของแหล่งกำเนิดกับผู้สังเกตการณ์
ขณะที่แหล่งกำเนิดคลื่นเคลื่อนที่เข้าหา ผู้สังเกตการณ์จะสังเกตเห็นความยาวคลื่นสั้นลง (ความถี่สูงขึ้น) และเมื่อแหล่งกำเนิดคลื่นเคลื่อนที่ออก ผู้สังเกตการณ์จะสังเกตเห็นความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น (ความถี่ต่ำลง) ตัวอย่างเช่น เมื่อรถตำรวจเปิดไซเรนวิ่งเข้ามาหาเรา
เราจะได้ยินเสียงไซเรนสูงขึ้น
และเมื่อรถคันนั้นเคลื่อนที่ผ่านเราออกไป
ก็จะได้ยินเสียงไซเรนต่ำลง
 ภาพที่
1 ปรากฏการณ์ดอปเปลอร์
พิจารณาภาพที่ 1 เมื่อวัตถุเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่
1 ไปยังตำแหน่งที่
4 ผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ด้านซ้ายมือจะมองเห็นวัตถุจะมีความยาวคลื่นสั้นลง
ส่วนผู้สังเกตที่อยู่ด้านขวามือจะมองเห็นวัตถุมีความยาวคลื่นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดอปเลอร์จะมีผลเฉพาะเมื่อวัตถุเคลื่อนที่เข้าและออกจากผู้สังเกตการณ์ในแนวสายตาเท่านั้น
หากวัตถุเคลื่อนที่ในแนวตั้งฉากกับแนวสายตาของผู้สังเกตการณ์
ก็จะไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น เราเรียกปรากฏการณ์ที่วัตถุเคลื่อนที่เข้าหาผู้สังเกตการณ์แล้วความยาวคลื่นสั้นลงว่า การเลื่อนทางน้ำเงิน (Blueshift)
และเรียกปรากฏการณ์ที่วัตถุเคลื่อนที่ออกจากผู้สังเกตการณ์แล้วความยาวคลื่นจะมากขึ้นว่า การเลื่อนทางแดง (Redshift) คริสเตียน
ด็อปเปลอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรีย ได้ค้นพบหลักการนี้ในปี
ค.ศ.1842 และเขียนเป็นสมการว่า
Δλ /λo = v/c
โดยที่ Δλ = ความยาวคลื่นที่เปลี่ยนแปลง λo = ความยาวคลื่นขณะที่วัตถุหยุดอยู่กับที่ v = ความเร็วที่วัตถุเคลื่อนที่ในแนวสายตา (Radial velocity) c = ความเร็วแสง 300,000 กิโลเมตร/วินาที
ตัวอย่างที่ 1: ปกติเส้น H-alpha เกิดขึ้นที่ความยาวคลื่น 656.255 nm แต่เส้น H-alpha ในสเปกตรัมของดาวเวกา อยู่ที่ความยาวคลื่น 658.255 nm แสดงเกิดปรากฏการณ์เลื่อนทางแดงหรือเลื่อนทางน้ำเงิน ดาวเวกาเคลื่อนที่ในแนวสายตาด้วยความเร็วเท่าไร Δλ = λ - λo = 656.255 - 656.285 = -0.030 nm v = c (Δλ / λo) = 300,000 km/s (-0.03 nm / 656.286 nm) = -13.7 km/s ผลลัพท์ที่ได้เป็นค่าลบ แสดงว่า ดาวเวกากำลังเคลื่อนที่เข้าหาโลกโดยมีความเร็วเรเดียน 13.7 km/s
นักดาราศาสตร์ใช้ปรากฏการณ์ดอปเลอร์
ศึกษาวัตถุในห้วงอวกาศได้หลายประการ
ได้แก่
- ระบบดาวคู่
(Binary system): มีดาวฤกษ์โคจรรอบกันและกัน
โดยมีจุดศูนย์กลางมวลร่วม
(Center of mass) ในภาพที่
2 แสดงดาว A มีเส้นดูดกลืนคู่บาง
ดาว B มีเส้นดูดกลืนคู่หนา
เมื่อดาวโคจรในทิศที่เข้าหาโลก
เส้นดูดกลืนจะเลื่อนทางน้ำเงิน
(ไปทางซ้ายมือ)
เมื่อดาวโคจรในทิศที่ออกจากโลก
เส้นดูดกลืนจะเลื่อนทางแดง (ไปทางขวามือ)
แต่ขณะที่ดาวเคลื่อนที่ในแนวตั้งฉากกับแนวสายตาจากโลก
เส้นดูดกลืนก็จะไม่มีเคลื่อนที่
 ภาพที่
2
การเลื่อนทางน้ำเงินและการเลื่อนทางแดงของดาวคู่
การหมุนรอบตัวของดาวเคราะห์:สเปกตรัมที่ได้จากดาวเคราะห์ในซีกที่หมุนเข้าหาโลกเกิดการเลื่อนทางน้ำเงิน ส่วนสเปกตรัมที่ได้จากซีกที่หมุนออกจากโลกเกิดการเลื่อนทางแดง
การค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ: (Exoplanet) ดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ
มีความสว่างน้อยมากจนมองไม่สามารถมองเห็นจากโลก อย่างไรก็ตามอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงทำให้ดาวทั้งสองโคจรรอบกันและกันโดยมีจุดศูนย์กลางมวลร่วม ซึ่งทำให้ดาวฤกษ์มีอาการส่ายไปมา (wobble) ดังที่แสดงในภาพที่ 3 ซึ่งนักดาราศาสตร์สังเกตได้โดยการวิเคราะห์สเปกตรัม
ภาพที่
3 การค้นหาดาวเคราะห์ระบบสุริยะอื่น
การเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ในทางช้างเผือก: นักดาราศาสตร์ศึกษาทิศทางการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ ในแขนกังหันของกาแล็กซีทางช้างเผือก
โดยพิจารณาการเลื่อนทางแดงหรือการเลื่อนทางน้ำเงินของดาวแต่ละดวง
การเคลื่อนที่ของกาแล็กซี: นักดาราศาสตร์ศึกษาการเคลื่อนที่ของกาแล็กซี โดยการวิเคราะห์สเปกตรัมของกาแล็กซี และพบว่า
กาแล็กซีแอนโดรเมดากำลังเคลื่อนที่เข้าหากาแล็กซีทางช้างเผือก
การขยายตัวของเอกภพ กระจุกกาแล็กซีกำลังเคลื่อนที่ห่างจากโลกในทุกทิศทาง กระจุกกาแล็กซียิ่งอยู่ห่างไกล ยิ่งมีค่าการเลื่อนแดงที่สูง เป็นหลักฐานยืนยันว่า
เอกภพกำลังขยายตัว ภาพที่
4 แสดงให้เห็น
การเลื่อนทางแดงบนสเปกตรัมของกระจุกกาแล็กซีแห่งหนึ่ง เส้นไฮโดรเจนอัลฟา (H) ซึ่งปกติอยู่ที่ความยาวคลื่น
653 nm ในช่วงแสงที่ตามองเห็น
กลับเลื่อนไปอยู่ที่ความยาวคลื่น
760 นาโนเมตร
ซึ่งอยู่ในช่วงรังสีอินฟราเรด
ภาพที่
4 การเลื่อนทางแดงของสเปกตรัมของกาแล็กซี
|