กาแล็กซีมีรูปทรงแตกต่างกันหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภทคือ กาแล็กซีปกติ (Regular galaxy) ที่มีสัณฐานรูปทรงชัดเจนสามารถแบ่งได้ตามแผนภาพส้อมเสียง (Hubble Turning Fork) ตามที่แสดงในภาพที่ 1 และกาแล็กซีไม่มีรูปแบบ (Irregular Galaxy) ที่ไม่มีรูปทรงสัณฐานชัดเลย เช่น เมฆแมกเจลแลนใหญ่ เมฆแมกเจลแลนเล็ก ซึ่งเป็นกาแล็กซีบริวารของทางช้างเผือก
ภาพที่ 1 แผนภาพส้อมเสียงกาแล็กซีของฮับเบิล
ในต้นคริสศตวรรษที่ 20 เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้ทำการศึกษากาแล็กซีด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ และจำแนกประเภทของกาแล็กซีตามรูปทรงสัณฐานออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
-
กาแล็กซีรี
(Elliptical Galaxy) มีสัณฐานเป็นทรงรี แบ่งย่อยได้ 8 แบบ ตั้งแต่ E0 - E7 โดย E0 มีความรีน้อยที่สุด และ E7 มีความรีมากที่สุด
-
กาแล็กซีกังหัน
(Spiral Galaxy) แบ่งย่อยเป็น 3 แบบ กาแล็กซีกังหัน Sa มีส่วนป่องหนาแน่น แขนไม่ชัดเจน, กาแล็กซีกังหัน Sb มีส่วนป่องใหญ่ แขนยาวปานกลาง, กาแล็กซีกังหัน Sc มีส่วนป่องเล็ก
แขนยาวหนาแน่น
-
กาแล็กซีกังหันแบบมีคาน หรือ กาแล็กซีกังหันบาร์
(Barred Spiral Galaxy) แบ่งย่อยเป็น 3 แบบ กาแล็กซีกังหันบาร์ SBa มีส่วนป่องใหญ่ไม่เห็นคานไม่ชัดเจน, กาแล็กซีกังหันบาร์ SBb มีส่วนป่องขนาดกลาง
เห็นคานได้ชัดเจน, กาแล็กซีกังหันบาร์ SBc มีส่วนป่องเล็กมองเห็นคานยาวชัดเจน
-
กาแล็กซีลูกสะบ้า หรือ กาแล็กซีเลนส์
(Lenticular Galaxy) เป็นกาแล็กซีที่ไม่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างกาแล็กซีรีและกาแล็กซีกังหัน กล่าวคือ ส่วนโป่งขนาดใหญ่และไม่มีแขนกังหัน (แบบ S0 หรือ SB0)
ภาพที่ 2 กาแล็กซีกังหันประกอบด้วยดาวที่มีอุณหภูมิสูง (สีน้ำเงิน)
นักดาราศาสตร์พบว่า กาแล็กซีส่วนใหญ่ที่พบร้อยละ
77 เป็นกาแล็กซีแบบกังหันและกังหันบาร์ มีขนาดใหญ่ องค์ประกอบหลักเป็นประชากรดาวประเภทหนึ่ง
(Population I มีธาตุหนักเกิดจากซูเปอร์โนวา สว่างมาก อุณหภูมิสูง) ซึ่งมีอายุน้อย กาแล็กซีจึงมีสีน้ำเงินดังภาพที่ 2 กาแล็กซีร้อยละ
20 เป็นกาแล็กซีรี
มีขนาดใหญ่ องค์ประกอบหลักเป็นประชากรดาวประเภทสอง (Population
II ไม่มีธาตุหนัก สว่างน้อย อุณหภูมิต่ำ) ซึ่งมีอายุมากและไม่มีดาวเกิดใหม่
กาแล็กซีจึงมีแดงดังภาพที่ 3 ส่วนที่เหลือร้อยละ
3 เป็นกาแล็กซีไม่มีรูปแบบ มีขนาดเล็กและกำลังส่องสว่างน้อย
มีประชากรดาวประเภทหนึ่ง
ภาพที่ 3 กาแล็กซีรีประกอบด้วยดาวที่มีอุณหภูมิต่ำ (สีแดง)
การแบ่งประเภทของกาแล็กซีในแผนภาพส้อมเสียงของฮับเบิล เป็นการแบ่งตามรูปทรงสัณฐานที่มองเห็นจากโลกเท่านั้น กาแล็กซีแต่ละประเภทมิได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องในเชิงลำดับ อย่างไรก็ตามนักดาราศาสตร์ในยุคปัจจุบันเชื่อว่า
กาแล็กซีรีเกิดจากการรวมตัวของกาแล็กซีกังหัน
เพราะประชากรดาวในกาแล็กซีกังหันมีอายุน้อยกว่าในกาแล็กซีรี สมบัติของกาแล็กซีทั้งสามประเภทแสดงในตารางที่
1
ตารางที่ 1 สมบัติของกาแล็กซีประเภทต่างๆ
สมบัติ |
กาแล็กซีกังหันและกังหันมีคาน |
กาแล็กซีรี |
กาแล็กซีไม่มีรูปแบบ |
มวล
(เท่าของดวงอาทิย์) |
109 ถึง 4 x 1011
|
105 ถึง 1013 |
108 ถึง 3 x 1010 |
กำลังส่องสว่าง
(เท่าของดวงอาทิย์) |
108 ถึง 4 x 1010 |
3 x 105 ถึง 1011 |
107 ถึง 109 |
เส้นผ่านศูนย์กลาง
(กิโลพาร์เซก) |
5 ถึง 250 กิโลพาร์เซก |
1 ถึง 200 กิโลพาร์เซก |
1 ถึง 10 กิโลพาร์เซก |
ประชากรดาว |
แขนกังหัน: Population I
นิวเคลียสและจาน: Population II |
Population II
ดาวฤกษ์อุณหภูมิต่ำ
อายุมาก ไม่มีโลหะ |
Population I
ดาวฤกษ์อุณหภูมิสูง
อายุน้อย มีโลหะ
|
ร้อยละที่สำรวจพบ |
77% |
20% |
3% |
หลักฐานที่สนับสนุนสมมติฐานที่ว่ากาแล็กซีรีเกิดจากการรวมตัวของกาแล็กซีกังหันคือ นักดาราศาสตร์พบว่า สเปกตรัมของกาแล็กซีแอนโดรมีดามีปรากฎการณ์การเลื่อนทางน้ำเงิน
(Blueshift) ซึ่งแสดงว่า
กำลังเคลื่อนเข้าชนกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราในอีก
6 พันล้านปีข้างหน้า เมื่อกาแล็กซีชนกันจะไม่ทำให้เกิดการระเบิดรุนแรงแต่อย่างไร
ทั้งนี้เนื่องจากกาแล็กซีมีความหนาแน่นต่ำมาก
โอกาสที่ดาวในแต่ละกาแล็กซีจะชนกันจึงมีน้อยมาก
อย่างไรก็ตามแรงโน้มถ่วงของแต่ละกาแล็กซีมีอิทธิพลต่อกันและกัน ซึ่งจะทำให้รูปทรงของกาแล็กซีทั้งสองเปลี่ยนไป
หรือยุบรวมกันเป็นกาแล็กซีขนาดใหญ่
ตัวอย่างเช่น กาแล็กซีกังหัน
NGC 4038 และ
NGC 4039
ยุบรวมกัน ทำให้เกิดกาแล็กรูปเสาอากาศ
(Antennae) ในภาพที่ 4

ภาพที่
4 กาแล็กซีNGC 4038 กำลังยุบรวมกับ
NGC 4039
|